วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

อาการทางผิวหนังใน 'โรคไข้เลือดออก'

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
โดย : ผศ.นพ.วาสนภ วชิรมน แผนกผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
อาการทางผิวหนังใน 'โรคไข้เลือดออก'
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา พบการระบาดของโรคไข้เลือดออกสูงขึ้น ทำให้เกิดการตื่นตัวกันเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่แล้วจะเข้าใจกันไปว่า โรคไข้เลือดออกมีอาการเพียงแค่ มีไข้และมีเลือดออก
แต่แท้จริงแล้ว ไข้เลือดออกยังมีอาการแสดงทางผิวหนังได้ด้วย ฉบับนี้ จึงขอกล่าวถึงอาการทางผิวหนังและเยื่อบุที่พบในผู้ป่วยไข้เลือดออก ซึ่งเป็นอาการที่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก เพื่อจะได้เป็นแนวทางให้ผู้ป่วยสังเกตตนเองมากขึ้น โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเด็งกี่ (Dengue virus) ทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อเกิดอาการได้ 3 ชนิด แบ่งตามความรุนแรงของการติดเชื้อ ได้แก่ ไข้เด็งกี่ธรรมดา ไข้

เด็งกี่ชนิดเลือดออก และไข้เด็งกี่ช็อค ไวรัสเด็งกี่สามารถติดต่อกันได้จากการถูกยุงลายกัด ซึ่งเชื้อไวรัสในยุงลายจะทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยภายหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 3-14 วัน อาการที่พบได้แก่ ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ อาการทางผิวหนังที่พบในโรคไข้เลือดออก เช่น อาการผิวหนังแดงบริเวณใบหน้า ลำคอและหน้าอก สามารถพบได้ ราว 50-80% ของผู้ป่วย เกิดจากการที่มีหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว ผื่นชนิดนี้หากเอามือกดจะมีสีจางลง อาการนี้มักพบได้ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกของการเจ็บป่วย
อย่างไรก็ตาม อาการดังกล่าวไม่ได้จำเพาะต่อโรคไข้เลือดออกเท่านั้น แต่ยังอาจพบในโรคการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น และแบคทีเรียบางชนิดได้ เช่น ไข้ดำแดง ผื่นอีกชนิดของโรคไข้เลือดออก มีลักษณะเป็นผื่นปื้นแดงคล้ายหัด ผื่นชนิดนี้จะพบได้ราว 3-5 วัน ภายหลังจากผื่นชนิดแรกหายไป ผื่นปื้นแดงคล้ายหัดมักเริ่มที่หลังมือ หลังเท้า ซึ่งกระจายไปยังแขน ขา และลำตัวในภายหลัง แต่มักไม่พบที่บริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า นอกจากนี้ ยังพบผื่นวงสีขาวแทรกอยู่ในผื่นปื้นแดงอีกที ทำให้ดูคล้าย "เกาะสีขาวในทะเลสีแดง"
เชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายกำลังจัดการกับเชื้อ อย่างไรก็ตาม ผื่นชนิดนี้ไม่เพียงพบได้ในโรคไข้เลือดออกเท่านั้น แต่ยังสามารถพบได้ในผู้ที่มีการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสชิคุนกุนยา (Chikungunya virus) ได้ด้วย ผื่นชนิดนี้ส่วนมากไม่มีอาการ แต่อาจพบอาการคันตามผิวหนังเพียงเล็กน้อยได้ประมาณ 16-27% ของผู้ป่วย ภายหลังผื่นหายจะกลายเป็นผิวปกติ ไม่ค่อยทิ้งรอยดำหรือแผลเป็น อาจพบอาการผิวหนังลอกเป็นขุยได้เพียงเล็กน้อย 
ทั้งนี้ ผื่นชนิดแรกและชนิดที่สองนี้ไม่จำเป็นต้องพบทั้งคู่ ในบางรายจะพบผื่นลักษณะเป็นจ้ำเลือดร่วมด้วย ซึ่งอาจพบเป็นจุดเล็ก ๆ หรือปื้นใหญ่ ซึ่งเป็นตัวบอกว่าเกล็ดเลือดในร่างกายต่ำลง ผื่นจ้ำเลือดนี้จะพบในไข้เด็งกี่ชนิดเลือดออกและไข้เด็งกี่ช็อค แต่ไม่พบในไข้เด็งกี่ธรรมดา อาการทางเยื่อบุ เช่น เยื่อบุตา เยื่อบุในช่องปาก มักพบในไข้เด็งกี่ชนิดเลือดออก และไข้เด็งกี่ช็อค มากกว่าไข้เด็งกี่ธรรมดา
อาการที่พบได้แก่ ตาแดงที่เยื่อบุตาขาวและบริเวณตาขาว อาจพบตุ่มน้ำและรอยถลอกที่เพดานปาก รวมทั้งอาการแดงและแห้งเป็นขุยที่ริมฝีปากและลิ้น หากเกล็ดเลือดต่ำอาจพบเลือดกำเดาออกหรือเลือดออกที่บริเวณเหงือกได้ อาการทางเยื่อบุเป็นอาการที่ไม่จำเพาะในผู้ป่วยทุกรายเช่นกัน สามารถพบการเปลี่ยนแปลงทางเยื่อบุได้ในการติดเชื้อชนิดอื่นได้ด้วย สำหรับการรักษา ยังไม่มีการรักษาจำเพาะสำหรับอาการทางผิวหนัง
ส่วนมากผื่นจะค่อย ๆ หายไปได้เอง เมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถจัดการกับเชื้อไวรัสได้ โดยหากผู้ป่วยมีอาการคัน อาจรักษาด้วยการใช้ยาแก้คันชนิดรับประทาน เพื่อบรรเทาอาการคันได้จะเห็นได้ว่าสามารถพบอาการทางผิวหนังและเยื่อบุได้ในโรคไข้เลือดออก แม้ว่าจะไม่จำเพาะต่อไข้เลือดออกเท่านั้น แต่ก็เป็นอาการที่ผู้ป่วยสามารถสังเกตเองได้ เพื่อที่จะได้ระวังตนเองมากขึ้น หากผู้ป่วยมีอาการไข้ร่วมกับอาการผื่นดังกล่าว ก็ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจเพิ่มเติมรวมทั้งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันการวินิจฉัยต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น