วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

รักสะอาดเกินไป เสี่ยงโรคซึมเศร้า

ที่มา: MGR Online
การรักความสะอาดนั้นไม่ใช่เรื่องผิด แต่การรักสะอาดจนเกินพอดี อาจทำให้คุณเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคซึมเศร้าได้  เมื่อนักวิทยาศาสตร์พบว่า เมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายไม่ได้เจอหน้าศัตรูอย่างเชื้อโรคบ่อยเข้า จะมีผลต่อสมองในการผลิตสารความสุขอย่าง "เซโรโทนิน" (Serotonin) ให้ลดน้อยลงจนมนุษย์คนนั้นป่วยได้นั่นเอง
       หันมองรอบตัวตอนนี้ เราแทบจะมีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดนับร้อยชนิดให้เลือกซื้อจากชั้นวางสินค้า โดยแทบทุกยี่ห้อระบุว่าสามารถทำความสะอาดได้อย่างหมดจด สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียต่าง ๆ ได้จนเหมือนมีโถส้วม ห้องครัวใหม่ จนเราแทบจะบอกภูมิคุ้มกันของร่างกายได้เลยว่า "เธอไม่ต้องออกโรงอีกแล้ว
       แต่ยิ่งทำความสะอาดมากขึ้น  ก็ยิ่งมีคนป่วยด้วยโรคซึมเศร้ามากขึ้นนี่สิ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สงสัย พร้อมอ้างอิงตัวเลขด้วยว่า ตัวเลขของการป่วยด้วยโรคซึมเศร้าของประชากรในประเทศแถบยุโรปนั้นทิ้งห่างกลุ่มประเทศยากจนลิบลับ ยกตัวอย่างเช่น อังกฤษ มีคนป่วยด้วยโรคซึมเศร้า 1 ใน 10 ส่วนประเทศไนจีเรีย ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าเพียง 1 ใน 100 เท่านั้น ซึ่งนักวิจัยกลุ่มนี้อ้างว่า เป็นเพราะภูมิคุ้มกันของร่างกายของชาวยุโรปไม่ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างที่ควรจะเป็น
       ดร.แอนดรูว์ มิลเลอร์ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ในทีมวิจัยระบุว่า "เราเชื่อว่า ภูมิคุ้มกันของร่างกายคือตัวการของการเกิดโรคซึมเศร้า เมื่อมนุษย์เติบโตขึ้น ภูมิคุ้มกันก็พัฒนาตนเองไปพร้อม ๆ กัน หากภูมิคุ้มกันของร่างกายได้เจอกับแบคทีเรียและเชื้อโรคต่าง ๆ บ้าง ก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันนั้นแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ทุกวันนี้ ทุกสิ่งรอบตัวของมนุษย์ต้องสะอาดไปหมด ดังนั้น ภูมิคุ้มกันจึงไม่ค่อยได้พบกับเชื้อโรคหรือแบคทีเรียเท่าใดนัก และนั่นทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอ อีกทั้งยังส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองในการผลิตสารที่สร้างความสุขให้กับร่างกายอย่าง "Serotonin" ซึ่งนั่นทำให้มนุษย์ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าอีกด้วย
   ถึงวันนี้อาจต้องยอมรับว่า สิ่งต่าง ๆ ที่ถูกสร้างมา โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ถูกมองเป็นตัวร้าย ตัวการก่อโรคต่าง ๆ ให้กับมนุษย์นั้น มีภารกิจบางประการแอบซ่อนอยู่ และเป็นภารกิจที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ด้วยเช่นกัน เพราะแบคทีเรียบางชนิดก็จำเป็นสำหรับการสร้างภูมิต้านทานให้กับมนุษย์ หากขาดมันไป ก็อาจทำให้มนุษย์เราป่วยด้วยโรคต่าง ๆ ดังที่เป็นอยู่

6 วิธีง่ายๆ ดูแลเส้นผม

ที่มา: MGR Online
เคล็ดลับ บำรุงเส้นผม อย่างง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงิน สำหรับสาวผมแห้ง เส้นเล็กลีบแบน ติดหนังศีรษะ เมื่อได้เห็นเส้นผมเงางาม นุ่มสลวยๆ พลิ้วไหวตามสายลมของสาวผมสวยทั้งหลายแล้ว คงจะหันมามองเส้นผมตัวเองแล้วรู้สึกแอบอิจฉาเล็กๆ อยู่ในใจ วันนี้เรามีเคล็ดลับที่ช่วยให้คุณสามารถช่วยฟื้นผมแห้งเสียให้กลับมาสุขภาพดีได้ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านของคุณเอง
เคล็ดลับ บำรุงเส้นผม อย่างง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงิน
         1.ระหว่างการสระผมทุกครั้ง เวลาสระผมให้นวดหนังศีรษะไปด้วย โดยการใช้มือขยุ้มเบาๆ ที่หนังศีรษะ เพื่อช่วยให้เกิดการหมุนเวียนโลหิตทั่วบริเวณหนังศีรษะแถมยังทำให้น้ำมันตามธรรมชาติไปหล่อเลี้ยงเส้นผม ซึ่งถือว่าเป็นการ บำรุงเส้นผม ได้ดียิ่งขึ้น
         2.หลังการสระผมทุกครั้ง ควรทำผมให้แห้งก่อนหวี เพราะการหวีขณะที่ผมเปียกจะทำให้เส้นผมขาดง่าย หากจำเป็นควรใช้หวีไม้ซี่ห่างเพื่อลดการขาดและหลุดร่วงของเส้นผม
         3.ผู้ที่นิยมใช้ไดร์เป่าผม ควรใช้ไดร์เป่าในลักษณะบนลงล่าง จากโคนผมไปสู่ปลายผม เพราะจะช่วยให้เกล็ดผมเรียงตัวตามธรรมชาติ เส้นผมนุ่มสลวย แลดูเงางาม และไม่ชี้ฟู
        4.การใช้ไดร์เป่าผมด้วยโรลไฟฟ้าและรีดผมให้ผมเรียบตรงด้วยเครื่องรีดไฟฟ้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องเส้นผมจากความร้อนด้วยเสมอ เพื่อป้องกันปัญหาผมแห้งเสีย เพราะความร้อนสูงของเครื่องมือเหล่านี้จะทำให้เส้นผมถูกทำลาย
         5.หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการขัดสีต่างๆ รวมทั้งบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่จะเข้าไปทำลายความแข็งแรงของเส้นผมได้ ถ้าหากคุณทำการหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้เสีย ก็จะเป็นการช่วย บำรุงเส้นผม โดยตรงอีกด้วย
         6.หากจำเป็นที่จะต้องมีกิจกรรมกลางแจ้ง เส้นผมต้องเผชิญกับแสงแดดแรงกล้า ควรป้องกันเส้นผมจากแสงแดดและรังสียูวี โดยการสวมหมวก หรือชะโลมด้วยผลิตภัณฑ์ปรับสภาพเส้นผมก่อนออกแดดเสมอ
         วิธีบำรุงเส้นผม ที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในตอนต้น เป็นวิธีแสนง่ายๆ ที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน ขอเพียงแค่คุณปฎิบัติตามด้วยความใส่ใจ สม่ำเสมอ และต่อเนื่อง เพียงเท่านี้ ในเวลาไม่นาน รับรองว่าคุณจะสามารถมีเส้นผมที่สวย เงางาม ชวนมอง เป็นอย่างมากเลยทีเดียว    

อดนอนบ่อย เพิ่มเสี่ยงโรคหัวใจ

ที่มา : เว็บไซต์มติชนออนไลน์
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
การนอนหลับไม่เพียงพอ สามารถเพิ่มโอกาสเสี่ยงให้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ หรือการอุดตันของเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองได้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีปัจจัยเสี่ยงอยู่แล้ว อย่างการเป็นเบาหวาน โรคอ้วน ความดันโลหิตสูงและคอเลสเตอรอลในร่างกายสูง
ความเสี่ยงข้างต้นเป็นสิ่งที่ทีมนักวิจัยชาวอเมริกัน ค้นพบระหว่างการศึกษาวิจัย และได้เปิดเผยไว้ในวารสารของสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน โดยเป็นการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ใหญ่จำนวน 1,344 คน ที่สุ่มเลือกมาเพื่อการศึกษาเรื่องการนอนหลับในรัฐเพนซิลวาเนีย โดยกลุ่มตัวอย่างที่เข้าร่วมมีอายุเฉลี่ยที่ 49 ปี และเป็นผู้ชายร้อยละ 42 ซึ่งต้องผ่านการตรวจคัดโรคและนอนหลับอยู่ในห้องทดลองเป็นเวลา 1 คืน ในกลุ่มตัวอย่างนี้ กว่าร้อยละ 39 ยังถูกพบว่า มีอย่างน้อยกว่า 3 ปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ ซึ่งเมื่อมาอยู่รวมกันถูกเรียกว่ากลุ่มอาการเมตาบอลิสม์ นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างยังมีค่าดัชนีมวลกาย (บีเอ็มไอ) สูงกว่า 30 ซึ่งเป็นระดับที่มีคอเลสเตอรอล ความดันเลือด น้ำตาลในเลือด และไตรกลีเซอไรด์สูง ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างจะถูกติดตามดูอาการเป็นเวลาเฉลี่ย 16 ปี โดยมีร้อยละ 22 ในจำนวนนี้ที่เสียชีวิตลงในระหว่างที่มีการทำการศึกษา
จากการศึกษา พบว่าผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการเมตาบอลิสม์ซึ่งนอนหลับไม่ถึง 6 ชั่วโมง มีโอกาสที่จะเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจหรือการอุดตันของเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองสูงถึง 2.1 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ ขณะที่ผู้ที่นอนน้อยและมีกลุ่มอาการเมตาบอลิสม์ ยังมีโอกาส 1.99 เท่าที่จะเสียชีวิตจากโรคใดๆ ก็ได้เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่มีอาการเมตาบอลิสม์ ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่มีความเสี่ยงสูงและได้นอนพักผ่อนมากกว่า 6 ชั่วโมง มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตมากกว่าผู้ที่มีสุขภาพดี 1.49 เท่า
จูลิโอ เฟอร์นันเดซ เมนโดซา รองศาสตราจารย์แห่งวิทยาลัยการแพทย์เพนน์สเตท บอกว่า หากมีปัจจัยเสี่ยงเป็นโรคหัวใจหลายด้านอยู่แล้ว ก็ควรจะดูแลเรื่องการนอนพักผ่อนของตนเองให้ดีและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากมีปัญหา เพราะการนอนหลับถือเป็นสิ่งสำคัญ หากต้องการลดความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจ ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่า ในวัยผู้ใหญ่ควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง เพื่อสุขภาพที่ดี

รู้จัก “โรคสะเก็ดเงิน”

ที่มา : เว็บไซต์ไทยรัฐ

          “โรคสะเก็ดเงิน (เรื้อนกวาง)” เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังชนิดหนึ่ง มีสาเหตุการเกิดโรคที่ไม่แน่ชัด แต่มีพื้นฐานจากพันธุกรรม ร่วมกับสิ่งกระตุ้นจากภายนอก ทำให้เซลล์ผิวหนังส่วนนั้นแบ่งตัวเร็วกว่าปกติร่วมกับเกิดการอักเสบ จึงเกิดเป็นปื้นหรือเป็นแผ่นหนา แดง คันและตกสะเก็ดเร็วกว่าปกติ จาก 28 วัน เหลือเพียง 4 วัน 
อาการ ผิวหนังจะอักเสบเป็นผื่นแดงหนา ขอบชัด มีสะเก็ดสีเงินติดแน่น สามารถพบได้ทุกส่วนของร่างกาย แต่มักพบบ่อยบริเวณข้อศอก หัวเข่า หน้าแข้ง บางรายพบความผิดปกติที่เล็บ โดยพบหลุมเล็กๆ บริเวณผิวเล็บ อาจมีจุดสีน้ำตาลใต้เล็บ หรือเล็บหนาขึ้น บางรายอาจมีอาการปวดข้อและข้อบวมร่วมด้วย
          ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคสะเก็ดเงิน การติดเชื้อ เช่น โรคไข้หวัด หรือคออักเสบจากเชื้อแบคทีเรียสเตรปโตคอกคัส โรคติดเชื้อ HIB ทำให้เกิดโรคสะเก็ดเงินกำเริบได้  การแกะเกา ขูด กด เสียดสี ทำให้ผื่นของโรคสะเก็ดเงินกำเริบ และลุกลามออกไปได้  การระคายเคืองต่อผิวหนัง เช่น การแพ้ยาทาต่างๆ สบู่ ผงซักฟอก จะทำให้เป็นผื่นมากขึ้น  การดื่มเหล้า การสูบบุหรี่ การเล่นกีฬาหักโหม  ในช่วงฤดูหนาวอากาศแห้ง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการกำเริบขึ้น  ความเครียดเป็นสาเหตุที่ทำให้โรคกำเริบได้  ยารักษาโรคจิตประสาทกลุ่ม Lithium ยารักษาโรคมาลาเรีย ยารักษาโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตกลุ่ม Beta-blocking agent ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น Indomethacin ยา สเตียรอยด์ชนิดกินและฉีด ควรหลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง เพราะยาหม้อ ยาจีน ยาไทยบางชนิด ก็ผสมสเตียรอยด์ลงไปด้วย
          การรักษา ทำได้ 3 ทาง ดังนี้  ทายา เช่น กลุ่มสเตียรอยด์ ยาทาน้ำมันดิน ยาทาวิตามินดี เป็นต้น คนที่มีผิวแห้งมากควรทาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวด้วย  ฉายแสงอัลตราไวโอเลต ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยาทาหรือโรคมีความรุนแรง  ยากิน ใช้ในรายที่มีอาการรุนแรง หรือไม่ตอบสนองการรักษาขั้นต้น คนไข้บางรายอาจจะต้องใช้การรักษาหลายๆ วิธีร่วมกัน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และลดผลข้างเคียงของยาลง ที่สำคัญคือควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ ก็ช่วยให้ห่างไกลโรค “สะเก็ดเงิน” ได้แล้ว 

อาการข้อไหล่ติด

ที่มา : โลกวันนี้วันสุข
          ข้อไหล่ติดเป็นภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการ ปวดไหล่และไม่สามารถเคลื่อนไหวข้อไหล่ได้ สุดพิสัยข้อ ไม่ว่าจะขยับเองหรือให้ผู้อื่นช่วย ขยับให้
          สาเหตุของข้อไหล่ติดยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จากการศึกษาทางพยาธิสรีรวิทยาพบ การอักเสบของเยื่อหุ้มข้อ และมีการหนาตัว ของเยื่อหุ้มข้อเป็นพังผืด ทำให้เคลื่อนไหว ข้อได้น้อยลง พบได้ประมาณ 2-5% ของประ ชากร มักเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักเป็น กับแขนที่ไม่ถนัดมากกว่าข้างที่ถนัด และมีโอกาสเป็นทั้ง 2 ข้างได้ประมาณ 20-30%
          อาการข้อไหล่ติดมี 3 ระยะ ได้แก่ ระยะปวด ระยะข้อติด และระยะฟื้นตัว
          เนื่องจากโดยทั่วไปข้อไหล่ติดเป็นภาวะ ที่หายได้เอง การรักษาแบบประคับประคองตามระยะของโรคจะช่วยให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ อาการดีขึ้น ในระยะปวดการรักษาเน้นลด อาการปวดและการอักเสบ เมื่อเข้าสู่ระยะข้อ ติดอาการปวดเริ่มน้อยลง การรักษาจะเน้น การเพิ่มพิสัยข้อ ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายได้เองโดยการยืดดัดข้อไหล่ทุกวัน ก่อน การดัดข้อไหล่ควรประคบด้วยแผ่นความ ร้อน หลังดัดข้อไหล่แล้วอาจใช้แผ่นความ เย็นประคบป้องกันการอักเสบ หากไม่ดีขึ้น อาจทำกายภาพบำบัดโดยใช้อุปกรณ์ให้ ความร้อนต่างๆ การดัดข้อไหล่โดยนัก กายภาพบำบัดจะช่วยทำให้อาการเป็น ปรกติเร็วขึ้น ผู้ป่วยควรช่วยตนเองด้วย การยืดดัดข้อไหล่ทุกวันร่วมด้วย สุดท้ายระยะฟื้นตัวจะเน้นการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่
          หากอาการข้อไหล่ติดไม่ดีขึ้นจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันหลังการรักษาอย่างเต็มที่ 4-6 เดือน แพทย์อาจพิจารณารักษาโดยการผ่าตัด เช่น การดมยาสลบเพื่อดัดข้อไหล่ หรือการผ่าตัดส่องกล้องไปตัดพังผืดหรือเนื่อเยื่อที่ยึดข้อไหล่ เป็นต้น(ข้อมูลภาพ rainbowarokayal.com)

เผยสาเหตุที่ลดน้ำหนักไม่ได้

ที่มา: shape
ทำกันมาทุกวิธีทางไม่ว่าจะเป็นสูตรไหนต่อสูตรไหนแต่น้ำหนักก็ไม่ยอมลดหายไปไหนเช่นเดิม โดยเฉพาะไขมันบริเวณหน้าท้องที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมไปไหนง่ายๆ ทำท่าว่าจะขออยู่ด้วยกันตลอดไป ถ้าเจอกันแบบนี้แล้วลองมาดูพฤติกรรมดังต่อไปนี้ ว่าเป็นเหตุผลที่เจ้าไขมันไม่อยากไปจากเราหรือเปล่า
เหตุผลที่ 1 ความเครียด การทำงานยุ่งๆ บางครั้งทำให้เรารู้สึกเครียด และการที่เราปล่อยตัวเองให้เครียดจึงทำให้เรารับทานของว่างบ่อยเกินไป และทำกันเป็นประจำจนเป็นนิสัยความเคยชิน ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นแบบไม่รู้ตัว การคิดว่าความเครียดจะช่วยเผาผลาญแคลอรีมากขึ้นนั้น จริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นความคิดที่ผิด ความจริงก็คือความเครียดจะไปเพิ่มการสร้างฮอร์โมนชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อเรียกว่าคอร์ติซอล (Cortisol) เจ้าฮอร์โมนตัวนี้จะทำการส่งสัญญาณให้ร่างกายรักษาความคงที่ของน้ำหนักตัวไว้ และยังฝากไขมันไว้ที่หน้าท้องมากขึ้นอีกด้วย (ไขมันที่หน้าท้องเป็นไขมันที่กำจัดออกยากที่สุด ยังเป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน ทำให้มีคอเลสเตอรอลสูง และตามมาด้วยสาเหตุของปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกด้วย) แถมยังมีฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ทำให้คุณรู้สึกเจริญอาหาร โดยเฉพาะอาหารหวานต่างๆ ที่มีไขมันสูงและแน่นอนอาหารพวกนี่เป็นศัตรูตัวร้ายของน้ำหนักและความผอมของคุณอีกด้วย ดังนั้นการที่เราปล่อยให้ตัวเองเครียดจะเป็นสาเหตุให้เราทานของว่างบ่อยขึ้นและทำให้มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

7 เมนูโลว์คาร์โบไฮเดรต

7 เมนูโลว์คาร์โบไฮเดรต

ที่มา :  40plus.posttoday
คาร์โบไฮเดรตไม่ใช่ศัตรูเสมอไป หากเลือกรับประทานอาหารเมนูคาร์บ (คาร์โบไฮเดรต) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อย่าง 7 เมนูสุดง่ายที่นักโภชนาการแนะนำ
นักโภชนาแนะนำอาหารโลว์คาร์บ 7 เมนูที่ทั้งทำง่าย อิ่ม อร่อย และไม่ต้องกลัวอ้วน ด้วยวัตถุดิบที่หาได้ง่ายตามท้องตลาด ใช้เวลาไม่นานในการปรุงอาหาร ทำให้งานนี้มื้อไหนๆ ก็มีประโยชน์ได้แบบไม่ต้องจ่ายแพง
1. ถั่วปากอ้า พืชฝักตระกูลถั่วเป็นแป้งอย่างดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่าง ถั่วปากอ้า ที่ประกอบไปด้วยไฟเบอร์และสารต่อต้านอนุกูลอิสระซึ่งเป็นพืชที่หาซื้อได้ง่าย กินง่าย และทำได้หลายเมนู
2. ผักกาดหอม เปลี่ยนจากแป้งแซนด์วิชมาห่อด้วยผักกาดหอมหรือกะหล่ำปลี เป็นไอเดียดีๆ ในการลดแป้ง โดยคุณยังสามารถมีมื้อที่เร่งรีบได้ เพียงแค่เพิ่มคุณค่าด้วยผักใบเขียว
3. หัวผักกาด พืชที่ให้แป้งอย่างหัวผักกาด สามารถนำมาใช้แทนหัวมันได้โดยไม่เสียรสชาติ ทว่า ให้พลังงานน้อยกว่า มีไฟเบอร์มากกว่า มีสารอนุกูลอิสระ วิตามินเค ซี และเอ โดยนำไปนึ่งหรือบดง่ายๆ ก็กลายเป็นอาหารมื้อหลักได้แล้ว
4. ก๋วยเตี๋ยวเส้นแครอท นอกจากเส้นซูกินีที่เป็นที่นิยมของคนนับแคลอรี่แล้ว อีกทางเลือกที่น่าสนใจต้องยกให้เส้นแครอทที่สามารถนำไปทำผัดซีอิ๊ว พาสต้า หรือก๋วยเตี๋ยวได้อร่อยเหมือนเดิม
5. กะหล่ำดอกบด กินแล้วสบายใจกว่ามันบดต้องลอง กระหล่ำดอกบด ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ และเหมาะกับคนควบคุมน้ำตาลในเลือดที่สุด
6. ข้าวบล็อคเคอรี่ เพียงสับบล็อคเคอรี่เป็นชิ้นเล็กๆ แล้วโยนเข้าหมอหุงข้าว คุณก็จะได้รับประทานคาร์โบไฮเดรตที่มีไฟเบอร์ วิตามินเค และบี 6 ซึ่งส่งผลดีแก่ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและโรคหัวใจ
7. สปาเกตตี้เนื้อฟัก เปลี่ยนจากเส้นสปาเกตตี้ธรรมดา เป็นเส้นที่ทำจากฟักจะช่วยลดแคลอรี่ เพิ่มโฟเลต โพแทสเซียม และไฟเบอร์ โดยให้พลังงานน้อยกว่าเส้นสปาเกตตี้ทั่วไปถึง 200 แคลอรี่ หรือจะเพิ่มคุณค่าทางอาหารด้วยหน่อไม้ฝรั่ง โรสแมรี่ และไพน์นัท ก็จะได้สปาเกตตี้จานอร่อยแบบรักสุขภาพ

ไม่ต้องสมบูรณ์แบบก็ (สุข) ได้

ที่มา :  40plus.posttoday
ความจริงก็คือเราทุกคนกำลังอาศัยอยู่ในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ ความสมบูรณ์แบบถ้าเกิดขึ้นได้เป็นสิ่งดี แต่เนื่องจากข้อจำกัดในชีวิต คนเรามีหมวกหลายใบที่ต้องรับผิดชอบ การที่จะให้ทุกบทบาทรวมทั้งการดูแลสุขภาพกายใจของตัวเองสมบูรณ์แบบไม่ขาดตกบกพร่อง น้อยคนหรือแทบไม่มีเลยที่จะทำได้ครบถ้วนในทุกๆ ด้าน

ความจริงก็คือเราทุกคนกำลังอาศัยอยู่ในโลกที่ไม่สมบูรณ์แบบ ความสมบูรณ์แบบถ้าเกิดขึ้นได้เป็นสิ่งดี แต่เนื่องจากข้อจำกัดในชีวิต คนเรามีหมวกหลายใบที่ต้องรับผิดชอบ การที่จะให้ทุกบทบาทรวมทั้งการดูแลสุขภาพกายใจของตัวเองสมบูรณ์แบบไม่ขาดตกบกพร่อง น้อยคนหรือแทบไม่มีเลยที่จะทำได้ครบถ้วนในทุกๆ ด้าน
ไม่ต้องสมบูรณ์แบบก็ (สุข) ได้

ยิ่งสูงยิ่งหนาว คุณวุฒิวัยวุฒิยิ่งสูงยิ่งบีบคั้น ใครก็ตามที่กำลังเครียดหรือมีความทุกข์จากปัญหาเรื่องความ (ไม่) สมบูรณ์แบบในชีวิต ถึงคราวต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง ปรับเปลี่ยนวิธีคิดได้แล้ว
1.ในแต่ละวันควรหาเวลาผ่อนคลายจากความเครียด
พักสมอง พักจิตใจ พักอารมณ์ อย่างน้อยวันละ 30 นาที เพื่อที่ความเครียดจะได้ไม่สะสม อาจทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำสมาธิ เล่นโยคะ ชี่กง ออกกำลังกายฯลฯ
การมีเวลาผ่อนคลายจะช่วยให้การมองสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัวน้อยลง มีสติมากขึ้น การตัดสินใจแก้ปัญหาก็จะดีขึ้น ผิดพลาดน้อยลง
2.ฝึกมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่บวก
มองข้อดีของสิ่งที่ตนเองได้รับและชื่นชมข้อดีนั้น ไม่ใช่มุ่งมองแต่ข้อที่ขาดไปหรือข้อเสียเท่านั้น การสามารถมองด้านบวกได้จะทำให้เกิดกำลังใจในการต่อสู้แก้ไขปัญหา
3.เตือนตัวเองว่า ความไม่สมบูรณ์แบบไม่ได้แปลว่าเราแก้ไขไม่ได้
เราไม่ได้อยู่ในโลกที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนมีข้อดี มีข้อเสียและข้อจำกัด เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหา การตั้งเป้าหมายหรือการตั้งความคาดหวังต่อสิ่งต่าง ๆต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดและพื้นฐานความเป็นจริงของปัจจัยแวดล้อมด้วย
4.ไม่ต้อง 100%ทุกเรื่องก็ได้
คนทุกคนย่อมมีความรับผิดชอบในหลายเรื่อง ต่างคนต่างสวมหมวกกันคนละหลายใบ เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ เป็นสามีภรรยา เป็นลูกจ้าง เป็นนักเรียน เป็นพนักงานลูกน้องฯลฯ ไม่ได้หมายความว่าต้องทำทุกเรื่องให้ได้ผลสมบูรณ์ 100% เต็มในทุกเรื่อง
มีบางเรื่องที่ความสมบูรณ์ของผลงานสำคัญมาก บางเรื่องสำคัญปานกลาง บางเรื่องสำคัญน้อย บางเรื่องไม่เร่งด่วน การจัดลำดับความสำคัญของภาระแต่ละเรื่อง ถ้าทำได้ดี จะช่วยลดความเครียดและแรงกดดันต่อตนเองได้มาก
5.สื่อสารให้เป็น
วิธีการสื่อสารกับคนในบ้านและที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญ นั่นหมายถึงความสามารถในการมองเห็นข้อดี ชื่นชมกันและให้กำลังใจกัน รวมทั้งให้เกียรติกัน อย่าเป็นคนที่มองเห็นแต่ข้อเสีย และถึงแม้ว่า “เห็น”ข้อเสียของคนอื่นจริง ๆ ก็ต้องพูดเป็นสื่อสารเป็น ถ้าต้องการให้เขาแก้ไข การใช้อารมณ์รังแต่จะทำให้ผู้ถูกติเตียนเสียความรู้สึก ไม่ให้ความร่วมมือ งานสำเร็จยาก
สรุปว่า การตั้งเงื่อนไขกับตัวเองว่า ฉันจะมีความสุขต่อเมื่อสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตสมบูรณ์แบบเป็นการคาดหวังที่สูงเกินไป และอาจไม่อยู่ในความเป็นจริง ชีวิตที่เพียบพร้อมไปด้วยความสมบูรณ์แบบมีเพียงชีวิตในนิยายหรือเรื่องที่ไม่มีอยู่จริงเท่านั้น
มาเรียนรู้ที่จะอยู่กับความจริง หรือ อยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบอย่างมีความสุขกันดีกว่า



มากินเพิ่มไขมันดีกันเถอะ

ที่มา :  40plus.posttoday
คอเลสเตอรอลมีทั้งผู้ดีและผู้ร้าย จะเป็นยังไงถ้าเราทำให้ไขมันดีมีมากขึ้นด้วยการกิน
คอเลสเตอรอลมีทั้งผู้ดีและผู้ร้าย จะเป็นยังไงถ้าเราทำให้ไขมันดีมีมากขึ้นด้วยการกิน
มากินเพิ่มไขมันดีกันเถอะ

เมื่ออายุเพิ่มตัวเลขคอเลสเตอรอลอาจจะทำให้คุณตกใจ แต่ใครบอกว่าไขมันเป็นตัวร้ายเสียทีเดียวคอเลสเตอรอลที่เรารู้จักยังย่อยไขมันออกเป็นสองแบบ คือไขมันชนิดดี (High-Density Lipoproteins หรือ HDL) และไขมันชนิดไม่ดี (Low-Density Lipoproteins หรือ LDL) แน่นอนว่าไขมันตัวร้ายจะทำให้เราเจ็บป่วยได้ เหมือนรถขนขยะที่นำของไปจำเป็นไปขวางทางเดินเลือด ไปเกาะกับเส้นเลือดทำให้มีการอักเสบ และการตีบตันของเส้นเลือดได้ ในขณะที่เจ้าไขมันชนิดดี จะช่วยป้องกันการเกาะของไขมันไม่ดี ดังนั้น ยิ่งมีไขมันชนิดดีมีสูง ยิ่งทำให้ลดความเสี่ยงที่ไขมันไม่ดีจะไปเกาะตามจุดสำคัญ เช่น หลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดสมอง เป็นต้น
พฤติกรรมที่จะสามารถเพิ่มระดับไขมันดีในเลือด นอกจากคุณจะต้องงดสูบบุหรี่ให้ได้ และออกกำลังกายแบบเป็นประจำ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การเดินเร็ว การวิ่ง การปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือเล่นกีฬาที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นต่อเนื่องกัน 20 นาทีขึ้นไป สิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือ การกิน
การกินที่ควรหลีกเลี่ยง ซึ่งเป็นต้นเหตุของไขมันตัวร้าย คือ น้ำตาล แป้งขัดขาว อาหารประเภทผัด ทอด อาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีไขมันทรานส์ที่อาจทำให้เส้นเลือดของคุณถูกทำลายมากขึ้น เปลี่ยนมาเป็นอาหารแบบต้ม นึ่ง ตุ๋น อบ ปิ้ง ย่าง เพิ่มเมนูที่มีไขมันที่ดีต่อสุขภาพทั้งแบบที่ร่างกายสร้างเองได้และสร้างเองไม่ได้ ซึ่งได้แก่ อะโวคาโด ธัญพืชโฮลเกรน เช่น ข้าวโอ้ต ถั่วต่างๆ เช่น วอลนัต อัลมอนด์ เพิ่มโอเมก้า 3 ปลาแซลมอน น้ำมันประกอบอาหาร เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย ฯลฯ
ไขมันในอาหารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มไขมันชนิดดีช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดที่ไม่ดี และยังดีต่อหัวใจด้วย ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย