วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ “โรคภูมิแพ้”

ที่มา : รศ. นพ. ปารยะ อาศนะเสน สาขาวิชาโรคจมูกและโรคภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับ “โรคภูมิแพ้”
1. โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาด  มักจะมีอาการ เป็นๆ หายๆ
2. มีสิ่งที่สามารถกระตุ้น ให้ผู้ป่วยเกิดอาการขึ้นมาได้หลายประเภท ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ความเครียด, การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ, อารมณ์เศร้า, วิตก,  กังวล,  เสียใจ , ของฉุน,  ฝุ่น,  ควัน,  อากาศที่เปลี่ยนแปลง  (จึงจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยง  โดยสังเกตว่า  อยู่ในสิ่งแวดล้อมใด, สัมผัสอะไร หรือรับประทานอะไร แล้วอาการมากขึ้น ให้หลีกเลี่ยง)  และควรจัดบ้านและจัดห้องนอน ตามคำแนะนำของแพทย์
การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ  หรือ หวัด  จึงควรป้องกันไม่ให้เป็น  โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง เช่น  เครียด,  นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ,   การสัมผัสอากาศที่เย็นมากเกินไป  เช่น ขณะนอน เปิดแอร์หรือพัดลมเป่าจ่อ  ไม่ได้ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายเพียงพอ   การดื่มหรืออาบน้ำเย็น    ตากฝน หรือสัมผัสอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว   จากร้อนเป็นเย็น  จากเย็นเป็นร้อน หรือมีคนรอบข้างที่ไม่สบายคอยแพร่เชื้อให้
3. ควรออกกำลังกาย แบบแอโรบิก อย่างสม่ำเสมอ [การออกกำลังกายแบบแอโรบิก คือการออกกำลังกายที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น   หายใจเร็วขึ้นต่อเนื่องกันอย่างน้อยวันละ  30  นาที   อย่างน้อยสัปดาห์ละ   3  วัน   เช่น วิ่ง,  เดินเร็ว,  ขึ้นลงบันได,  ว่ายน้ำ,  ขี่จักรยานฝืด (แบบปรับน้ำหนักได้เช่น  ใน FITNESS),  เตะฟุตบอล, เล่นเทนนิส, แบดมินตัน   หรือบาสเกตบอล]  เพราะการออกกำลังกายจะทำให้ความไวของเยื่อบุจมูกและ/หรือ  หลอดลมลดลง ทำให้ความจำเป็นในการใช้ยา ลดน้อยลง และทำให้มีภูมิต้านทานต่อหวัด  ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้อาการภูมิแพ้ แย่ลง โดยจะเป็นหวัดยาก  หรือเป็นแล้วหายง่าย
4.โรคนี้แพทย์ไม่ได้ให้ผู้ป่วยพ่นยา, สูดยา  หรือรับประทานยาไปตลอดชีวิต เมื่อใดที่ผู้ป่วยสามารถลดเหตุได้ (ดูข้อ 2 และ 3) ก็สามารถลดยาได้  โดยในระยะแรก แพทย์จะเป็นผู้ปรับยาให้
5.เนื่องจากโรคภูมิแพ้  นั้นทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจ, ผิวหนัง, เยื่อบุตา, ทางเดินอาหาร ไวผิดปกติ เมื่อมีสิ่งกระตุ้น (ดูข้อ 2)  จะทำให้มีอาการมากขึ้นได้ ซึ่งมักจะมีอาการได้ง่าย และหายยาก ดังนั้น เมื่อมีอาการ  แนะนำให้เพิ่มการใช้ยามากขึ้น  เพื่อให้หายจากอาการดังกล่าวเร็วที่สุด (ตัดไฟแต่ต้นลม)  เช่น
-     เมื่อมีอาการทางตา   อาจรับประทานยาแก้แพ้ และ /หรือ หยอดยาหยอดตาแก้แพ้
-     เมื่อมีอาการทางจมูก อาจล้างจมูก,  อบไอน้ำเดือด, พ่นยา  และ /หรือ รับประทานยาแก้แพ้
-     เมื่อมีอาการทางผิวหนัง   อาจรับประทานยาแก้แพ้ และ /หรือ ทายาแก้คัน
-     เมื่อมีอาการทางหลอดลม  อาจสูดยา หรือพ่นยา  เข้าหลอดลมให้มากขึ้นและ /หรือ รับประทานยาขยายหลอดลม  หรือยาแก้ไอ
-     เมื่อมีอาการทางเดินอาหาร   อาจรับประทานยาแก้แพ้ และ /หรือ ยาแก้คลื่นไส้/ อาเจียน   หรือยาแก้ท้องเสีย
เมื่ออาการดังกล่าวดีขึ้น  ก็ค่อยๆลดยาดังกล่าวลงเอง หรือลดลงเท่ากับที่แพทย์แนะนำ (เมื่อมีอาการมาก  เป็นมาก ก็ให้ใช้ยามาก เมื่อมีอาการน้อย  เป็นน้อยลง ก็พิจารณาลดยาลง)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น