วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

ปวดร้าวที่กระดูก แบบไหนต้องพบแพทย์

ที่มา: รามาแชนแนล Rama Channel
ปวดร้าวที่กระดูก แบบไหนต้องพบแพทย์
ปวดร้าวที่กระดูก แบบไหนต้องพบแพทย์
ในบรรดาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัว อาการปวดร้าวที่กระดูกถือเป็นอีกหนึ่งอาการที่หลายคนพบเจอ เนื่องจากการใช้ร่างกายที่ไม่เหมาะสม หรือการเคลื่อนไหวที่ผิดพลาด บ้างเกิดจากอายุที่มากขึ้น บ้างก็อาจเกิดจากการออกกำลังกาย และอื่นๆ ทั้งยังคงเป็นปัญหาให้หลายคนที่เป็น ใช้ชีวิตผิดปกติไปจากเดิม
โดยระดับอาการยังมีตั้งแต่น้อยไปถึงมาก อาจต้องพบแพทย์หรือไม่ก็ได้ เพราะบางระดับอาการก็สามารถบำบัดได้ด้วยตนเอง วันนี้เราก็มีข้อมูลมาฝากว่าอาการปวดร้าวที่กระดูกแบบไหน ที่ควรพบแพทย์บ้าง

อาการปวดร้าวที่กระดูกมีหลายแบบตั้งแต่ตำแหน่งที่ปวด รวมไปถึงระดับอาการที่ปวด หากเป็นไม่มากก็สามารถกายภาพหรือบำบัดด้วยตนเองที่บ้านได้ อาการเหล่านั้นก็จะหายไป แต่บางอาการก็ต้องพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที
โดยทั่วไปหากเกิดอาการปวดร้าวที่กระดูก ให้ทำการบำบัดด้วยตนเองก่อน โดยการนั่งพักสักครู่หนึ่ง แล้วดูว่าอาการนั้นดีขึ้นหรือไม่ หากนั่งพักแล้วอาการค่อยๆ ดีขึ้นจนกระทั่งหายไป อาจไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ แต่ถ้าหากอาการยิ่งทรุดหนัก มีอาการปวดมากขึ้น อาจต้องพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับระยะทางในการเคลื่อนไหวด้วย รวมถึงอายุก็มีส่วนเช่นกัน อย่างในบางรายที่มีอายุมากการเดินในระยะทาง 1 กิโลเมตรแล้วรู้สึกปวดร้าว นั่งพักแล้วหาย อันนั้นอาจเป็นเรื่องปกติในคนอายุเยอะ ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ แต่ถ้าหากอายุยังน้อยแล้ววิ่งไปได้เพียงระยะทาง 1 กิโลเมตรก็รู้สึกปวดมากจนไม่สามารถเคลื่อนไหวต่อไปได้อีก อันนี้อาจไม่ปกติและควรพบแพทย์โดยด่วน เพื่อประเมินอาการต่อไป
ปวดร้าวที่กระดูก แบบไหนต้องพบแพทย์ thaihealth
ยกตัวอย่าง กรณีหญิงสูงอายุที่รู้สึกปวดข้างหลังแล้วร้าวลงมาที่ขา เมื่อเดินไปได้สักระยะ 1- 2 กิโลเมตร ให้ลองนั่งพักสักครู่ ถ้าหากนั่งพักแล้วหาย แปลว่ายังไม่ถึงขั้นที่ต้องพบแพทย์ ให้บำบัดด้วยตนเองโดยการนั่งพักทุกครั้งที่เกิดอาการปวดร้าวที่กระดูกขึ้น และยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่มีอะไรต้องกังวล โดยอาการดังกล่าวคืออาการของหลังกระดูกทับเส้น ซึ่งจะร้าวลงมาที่ขา รู้สึกชาที่ขา อาการดีขึ้นได้เมื่อนั่งพักสักครู่หนึ่ง แต่ถ้าหากวันใดที่พบว่าระยะทางในการเดินนั้นสามารถทำได้น้อยลง และรู้สึกปวดร้าวมากขึ้น ทานยาแก้ปวดหรือพาราเซตามอลแล้วไม่หาย นั่งพักแล้วไม่หาย อาการแบบนี้ควรพบแพทย์
อย่างในกรณีต่อมาหญิงสาวอายุไม่ถึง 30 ปี มีอาการเจ็บที่หน้าแข้งขณะวิ่งออกกำลังกาย โดยมีอาการตั้งแต่วิ่งไปได้เพียงระยะสั้นๆ ประมาณ 0.5 กิโลเมตร กระทั่งถึง 1 กิโลเมตรก็รู้สึกเจ็บมากจนไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ ตำแหน่งที่เจ็บอยู่บริเวณหน้าแข้ง อาการเหมือนกระดูกจะแตก แบบนี้ควรเข้าพบแพทย์ เพื่อทำการเอ็กซเรย์ดูว่ากระดูกมีปัญหาหรือไม่อย่างไร โดยอาการนี้สามารถเป็นไปได้ทั้ง 2 อย่าง อาจมีปัญหาที่กระดูกหรือไม่ก็มีปัญหาที่กล้ามเนื้อ เพราะโรคกระดูกบางโรคที่ในเนื้อกระดูกมีปัญหา จะทำให้เจ็บหน้าแข้งได้ แต่อีกประการหนึ่งคือกลุ่มของโรคกล้ามเนื้อที่ทำให้เวลาออกกำลังกายสามารถเจ็บหน้าแข้งได้เช่นกัน เนื่องจากว่ากล้ามเนื้อจะเกาะที่กระดูก จึงควรเอ็กซเรย์ดูจะดีที่สุด ซึ่งถ้าหากไม่เจอความผิดปกติใดๆ ก็อาจต้องไปดูในเรื่องของพฤติกรรมการออกกำลังกายว่าก่อนออกกำลังกายมีการเตรียมความพร้อมที่เหมาะสมหรือไม่ หรืออาจเป็นที่ท่าวิ่งไม่เหมาะสม ซึ่งมีส่วนทำให้เจ็บหน้าแข้งได้เช่นกัน
ยังมีอีกหนึ่งอาการปวดที่ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ แต่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตไม่น้อย นั่นก็คืออาการของโรคไหล่ติด จะมีลักษณะปวดบริเวณไหล่ตรงจุดที่แขนต่อจากไหล่ เวลายกแขนจะมีปัญหายกไม่ค่อยขึ้น ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น หวีผมยาก ใส่เสื้อชั้นในยาก เป็นต้น โดยจะปวดทั้งสองข้าง ซึ่งจะปวดทีละข้างเมื่อข้างหนึ่งหาย อีกข้างจะปวดต่อกัน พบมากในผู้หญิงอายุ 40- 50 ปี ใช้เวลา 1-2 ปีโรคไหล่ติดจะหายไปเองโดยธรรมชาติ สามารถบำบัดได้ด้วยตัวเองด้วยการประคบน้ำอุ่นบริเวณรอบๆ หัวไหล่ แต่ถ้าทนไม่ไหวให้ทานยาแก้ปวด อย่างยาพาราเซตามอล  หรือยาคลายกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังสามารถบำบัดได้ด้วยท่าบริหารต่างๆ 6-7 ท่า สำหรับการแก้ปัญหาไหล่ติดโดยเฉพาะ โดยธรรมชาติของโรคนี้จะมีอายุประมาณ 3 เดือนถึง 2 ปี ก็จะหายไปเอง ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น